วันจันทร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2559

สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง
          สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง เป็นสัตว์ชั้นต่ำ ที่ไม่มีกระดูกเป็นแกนภายในร่างกาย บางชนิดอาจมีโครงร่างแข็งที่ไม่ใช่กระดูกอยู่ภายในลำตัวเพื่อช่วยค้ำจุนร่างกาย และบางชนิดมีเปลือกแข็งหุ้มอยู่ภายนอก เพื่อป้องกันอันตราย และใช้ยึดของกล้ามเนื้อ นักวิทยาศาสตร์พบว่า พวกแมลง เป็นสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังกลุ่มใหญ่ที่สุด ซึ่งอาศัยอยู่บนบกมากกว่า อาศัยอยู่ในน้ำ ปัจจุบันมีการรวมกลุ่มสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน เป็นพวกๆ ดังนี้
   1. พวกฟองน้ำ สัตว์พวกนี้ มีลักษณะลำตัวเป็นโพรง มีรูพรุน ทำให้น้ำและอาหารสามารถไหลผ่านเข้าไปในโพรงลำตัว เพื่อดูดซึมก๊าซออกซิเจนและอาหาร แล้วปล่อยน้ำและกากอาหารออกทางช่องน้ำออก ฟองน้ำทุกชนิดอาศัยอยู่ในน้ำส่วนใหญ่จะอยู่ในทะเลมากกว่าน้ำจืด โดยจะเกาะติดกับหินใต้ท้องทะเล ไม่เคลื่อนที่ ดูมีลักษณะคล้ายพืช ไม่มีหัว ไม่มีปาก และไม่มีทางเดินอาหาร ฟองน้ำแต่ละชนิด มีสีและขนาดแตกต่างกัน การสืบพันธุ์ โดยใช้วิธีการแตกหน่อ ฟองน้ำบางชนิดนำมาใช้ประโยชน์ในการถูตัวเวลาอาบน้ำ จึงเรียกว่า ฟองน้ำถูตัว
 
พวกสัตว์ลำตัวกลาง 

ไนดาเรีย

 ไฟลัมไนดาเรีย (ชื่อวิทยาศาสตร์: Cnidaria) หรือ เคยมีชื่อว่า ไฟลัมซีเลนเตอราตา หรือพวก ซีเลนเตอเรต (ชื่อวิทยาศาสตร์: Coelenterate) เป็นกลุ่มสัตว์ที่มีรูปร่างทรงกระบอก มีโพรงในลำตัว และมีเข็มพิษ เช่น แมงกะพรุน ดอกไม้ทะเล ไฮดรา ส่วนใหญ่พบตามชายฝั่งลงไปจนถึงทะเลลึก บางชนิดพบในน้ำจืด กลางลำตัวเป็นท่อกลวง มีอวัยวะคล้ายหนวดหลายเส้น ภายในหนวดนี้มีเข็มพิษจำนวนมาก เมื่อสัมผัสจะทำให้ผิวหนังระคายเคืองและพิษจากเข็มพิษบางชนิดทำให้สัตว์เป็นอัมพาตได้ สัตว์กลุ่มนี้มีประโยชน์ต่อมนุษย์โดยเฉพาะพวกปะการัง เสมือนเป็นป่าใต้น้ำ ที่เป็นแหล่งที่อยู่อาศัย ที่เจริญเติบโตและหลบภัยของสัตว์น้ำนานาชนิด สัตว์กลุ่มนี้ บางชนิดจะสืบพันธุ์ แบบไม่อาศัยเพศ โดยการแตกหน่อ เช่น ไฮดรา ปะการัง และกัลปังหา บางชนิดสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ เช่น แมงกะพรุน

 

ลักษณะโดยทั่วไป

  • มีเนื้อเยื่อ 2 ชั้น (Diploblastica) คือ เอ็กโทเดิร์ม (Ectodrem) และเอนโดเดิร์ม (Endoderm) โดยที่ระหว่าง 2 ชั้นดังกล่าวมีลักษณะคล้ายวุ้น ที่เรียกว่า "มีโซเกลีย" (Mesoglea) ชั้นนอก-เอพิเดอร์มิส (Epidermis) ชั้นมีโซเกลีย (Measoglea) และชั้น แกสโตรเดอร์มิส (Glastrodermis) ตามลำดับ
  • รูปร่างทรงกระบอก หรือ ทรงร่ม สมมาตรรัศมี
  • มีช่องว่างในลำตัวที่เรียกว่า "ช่องแกสโตรวาสคิวลาร์" (Gastrovascular Cavity) เสมือนระบบย่อยอาหารและระบบหมุนเวียนสาร
  • ทางเดินอาหารแบบช่องเดียว (One-hole sac) มีการย่อยอาหารภายในเซลล์ (Intracellular digestion) เกิดขึ้นที่ชั้นแกสโตรเดอร์มิส
  • มีหนวดหรือ เทนตาเคิล (Tentacle) อยู่รอบปาก มีเซลล์ "นิโดไซต์" (Cnidocyte) แทรกอยู่ที่เทนตาเคิล และตามผนังลำตัว มนถึงของเซลล์นิโดไซท์นั้น
  • มีเข็มพิษเรียก นีมาโตซีสต์ (Nematocyst) ใช้สำหรับแทงเหยื่อ โดยเหยื่อผู้เคราะห์ร่ายอาจตายหรือเป็นอัมพาตได้
  • ระบบประสาทเป็นแบบร่างแห (Nerve Net) คือเซลล์ประสาทที่เชื่องโยงกันทั่วตัวยังไม่มีการรวมกลุ่มของเซลล์ประสาทเป็นปมประสาท (Ganglion)

การจัดจำแนก

พยาธิ

พยาธิ เป็นสิ่งมีชีวิตที่ต้องอาศัยในร่างกายของสัตว์อื่นโดยเรียกว่า ปรสิต

 การดำรงชีวิต

ดำรง ชีวิตอยู่ได้โดยการแย่งและดูดซึมสารอาหารจากร่างกาย และสืบพันธุ์ในร่างกายของคนและสัตว์ บางชนิดก็ไม่ก่อความเดือดร้อนต่อร่างกายคนและสัตว์ที่มันอาศัยอยู่ เพียงแต่แย่งดูดซึมอาหารเท่านั้น บางชนิดก็ก่อให้เกิดพยาธิสภาพรุนแรงถึงชีวิตได้ถ้าไม่ได้รับการรักษา

กลุ่ม

พยาธิมีอยู่จำนวน 3200 ชนิด (varieties) [2] แบ่งเป็น 4 กลุ่ม ดังนี้ [3]
  1. โปรโตซัว เป็นสัตว์เซลล์เดียวที่มีโครงสร้างไม่ยุ่งยากซับซ้อนเช่น Entamoeba sp., Trypanosome sp., Plasmodium sp.
  2. ตัวกลม จัดอยู่ในอาณาจักรสัตว์ (Kingdom: Animalia) ไฟลัม (Phylum) Nematoda มี 2 ชั้น (Class) โดย Rudolphi ในปี 1808
  3. ตัวตืด จัดอยู่ในอาณาจักรสัตว์ (Kingdom: Animalia) ไฟลัม (Phylum) Platyhelminthes หนอนตัวแบน (flatworms) (Platyhelminthes, Greek "platy"': flat; "helminth": worm) ชั้น (Class) Trematoda โดย Rudolphi ในปี 1808
  4. ใบไม้ จัดอยู่ในอาณาจักรสัตว์ (Kingdom: Animalia) ไฟลัม (Phylum) Platyhelminthes ชั้น (Class) Cestoda

พยาธิก่อโรค [4]

  1. พยาธิตัวกลม (Nematodes) จะมีลำตัวไม่แบ่งเป็นปล้องๆ รูปร่างทรงกระบอก หัวท้ายเรียวแหลม ตัวอย่างเช่น พยาธิไส้เดือนกลม พยาธิเส้นด้าย พยาธิปากขอ พยาธิตัวจี๊ด ชนิดที่พบผู้ป่วยในประเทศไทยมากคือ พยาธิเส้นด้าย (เข็มหมุด) ซึ่งผู้ป่วยรับพยาธิได้ง่ายจากการบริโภคอาหารดิบหรือปรุงสุก ๆ ดิบ ๆ จากเนื้อสัตว์และหอยชนิดต่าง ๆ นอกจากนั้นยังอาจได้รับพยาธิจากการใช้มือที่ไม่สะอาดหรือไม่ได้ล้างมือให้ สะอาดหยิบอาหารรับประทาน
  2. พยาธิตัวแบน หรือ พยาธิตัวตืด (Cestodes หรือ;z'cv Tapeworm) จะมีลำตัวแบน แบ่งเป็นปล้องๆ ตัวอย่างเช่น พยาธิตืดหมู พยาธิตืดวัว เป็นต้นชนิดที่พบผู้ป่วยในประเทศไทยมากคือ พยาธิตืดหมูและพยาธิตืดวัว ซึ่งผู้ป่วยรับพยาธิได้ง่ายจากการบริโภคอาหารดิบหรือปรุงสุกๆดิบๆ จากเนื้อหมูและเนื้อวัว
  3. พยาธิใบไม้ (Trematodes หรือ Fluke) จะมีลำตัวแบนไม่แบ่งเป็นปล้อง ตัวอย่างเช่น พยาธิใบไม้ในเลือด พยาธิใบไม้ในตับ ติดต่อได้ง่ายจากการบริโภคอาหารประเภทปลาและสัตว์น้ำจืด ในลักษณะดิบหรือปรุงสุก ๆ ดิบ ๆ
 สัตว์ทะเลผิวขรุขระ 


อิคีเนอเดอร์เมอเทอ
 เอคไคโนเดอร์มาทา (ชื่อวิทยาศาสตร์: Echinodermata; เสียงอ่านภาษาอังกฤษ: /i-ˌkī-nə-ˈdər-mət-ə/) เป็นไฟลัมหนึ่งของสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง มีสมาชิกได้แก่ ดาวทะเล ดาวเปราะ ปลิงทะเล เม่นทะเล พลับพลึงทะเลและเหรียญทะเล เป็นไฟลัมที่พบเฉพาะในทะเล ชื่อของไฟลัมหมายถึง "สัตว์ที่มีผิวหนังเป็นหนาม" (Echinos = ขรุขระ, Derma = ผิวหนัง) แต่ในที่นี้หมายถึงสัตว์ที่มีโครงร่างภายนอก ซึ่งมีลักษณะเป็นแผ่นหินปูน ทำให้ผิวลำตัวมักมีหนามรูปร่างต่างๆกัน เคลื่อนที่โดยใช้เท้าท่อ หายใจโดยใช้ปุ่มตามผิวหนัง หรือใช้ช่องเหงือก ทุกชนิดอาศัยอยู่ในทะเล ดำรงชีวิตเป็นสัตว์หน้าดิน

ลักษณะสำคัญ

สัตว์ในไฟลัมนี้ เป็นพวก Deuterostome มีช่องลำตัวแท้จริงซึ่งเกิดจากการแบ่งตัวมาจาก mesoderm สัตว์ในไฟลัมนี้สามารถเคลื่อนที่ได้ดี แต่ช้าๆ โดยการใช้เครือข่ายแรงดันภายในระบบท่อน้ำ สามารถสืบพันธุ์จากการแยกส่วนได้ ซึ่งระบบท่อน้ำนี้พัฒนามาจาก coelom และยังทำหน้าที่หายใจ กินอาหาร สืบพันธุ์และหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการหมุนเวียนในร่างกาย
ตัวอ่อนของสัตว์ไฟลัมนี้มีสมมาตรแบบ 2 ส่วนเท่ากัน แต่เมื่อโตเต็มวัยแล้วจะมีสมมาตรแบบทรงรัศมี 5 แฉก การขับถ่าย และหัวใจไม่ชัดเจน เศษอาหารปล่อยออกทางปาก ระบบประสาทเป็น เส้นประสาทแบบวงแหวน อย่างง่ายๆ

การจำแนก

การจัดจำแนก (classification) แบ่งออกเป็น 6 คลาสได้แก่

 พวกสัตว์ลำตัวกลาง

 ไนดาเรีย

 ไฟลัมไนดาเรีย (ชื่อวิทยาศาสตร์: Cnidaria) หรือ เคยมีชื่อว่า ไฟลัมซีเลนเตอราตา หรือพวก ซีเลนเตอเรต (ชื่อวิทยาศาสตร์: Coelenterate) เป็นกลุ่มสัตว์ที่มีรูปร่างทรงกระบอก มีโพรงในลำตัว และมีเข็มพิษ เช่น แมงกะพรุน ดอกไม้ทะเล ไฮดรา ส่วนใหญ่พบตามชายฝั่งลงไปจนถึงทะเลลึก บางชนิดพบในน้ำจืด กลางลำตัวเป็นท่อกลวง มีอวัยวะคล้ายหนวดหลายเส้น ภายในหนวดนี้มีเข็มพิษจำนวนมาก เมื่อสัมผัสจะทำให้ผิวหนังระคายเคืองและพิษจากเข็มพิษบางชนิดทำให้สัตว์เป็นอัมพาตได้ สัตว์กลุ่มนี้มีประโยชน์ต่อมนุษย์โดยเฉพาะพวกปะการัง เสมือนเป็นป่าใต้น้ำ ที่เป็นแหล่งที่อยู่อาศัย ที่เจริญเติบโตและหลบภัยของสัตว์น้ำนานาชนิด สัตว์กลุ่มนี้ บางชนิดจะสืบพันธุ์ แบบไม่อาศัยเพศ โดยการแตกหน่อ เช่น ไฮดรา ปะการัง และกัลปังหา บางชนิดสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ เช่น แมงกะพรุน

ลักษณะโดยทั่วไป

  • มีเนื้อเยื่อ 2 ชั้น (Diploblastica) คือ เอ็กโทเดิร์ม (Ectodrem) และเอนโดเดิร์ม (Endoderm) โดยที่ระหว่าง 2 ชั้นดังกล่าวมีลักษณะคล้ายวุ้น ที่เรียกว่า "มีโซเกลีย" (Mesoglea) ชั้นนอก-เอพิเดอร์มิส (Epidermis) ชั้นมีโซเกลีย (Measoglea) และชั้น แกสโตรเดอร์มิส (Glastrodermis) ตามลำดับ
  • รูปร่างทรงกระบอก หรือ ทรงร่ม สมมาตรรัศมี
  • มีช่องว่างในลำตัวที่เรียกว่า "ช่องแกสโตรวาสคิวลาร์" (Gastrovascular Cavity) เสมือนระบบย่อยอาหารและระบบหมุนเวียนสาร
  • ทางเดินอาหารแบบช่องเดียว (One-hole sac) มีการย่อยอาหารภายในเซลล์ (Intracellular digestion) เกิดขึ้นที่ชั้นแกสโตรเดอร์มิส
  • มีหนวดหรือ เทนตาเคิล (Tentacle) อยู่รอบปาก มีเซลล์ "นิโดไซต์" (Cnidocyte) แทรกอยู่ที่เทนตาเคิล และตามผนังลำตัว มนถึงของเซลล์นิโดไซท์นั้น
  • มีเข็มพิษเรียก นีมาโตซีสต์ (Nematocyst) ใช้สำหรับแทงเหยื่อ โดยเหยื่อผู้เคราะห์ร่ายอาจตายหรือเป็นอัมพาตได้
  • ระบบประสาทเป็นแบบร่างแห (Nerve Net) คือเซลล์ประสาทที่เชื่องโยงกันทั่วตัวยังไม่มีการรวมกลุ่มของเซลล์ประสาทเป็นปมประสาท (Ganglion)

การจัดจำแนก

 พวกหอยกับหมึก 

มอลลัสกา

 มอลลัสกา (ไฟลัม: Mollusca, เสียงอ่าน: /mɵˈlʌskə/) เป็นไฟลัมหนึ่งของสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง คือสัตว์ที่มีลำตัวนิ่ม ส่วนใหญ่มีเปลือกแข็งหุ้มอยู่ภายนอก พบทั้งบนบก น้ำจืด น้ำเค็ม น้ำกร่อย ดำรงชีวิตเป็นอิสระ มีต่อมเมือกตามผิวลำตัว ระบบอวัยวะมีความซับซ้อน ลำตัวสั้น ด้านหน้าเป็นส่วนหัว ด้านล้างเป็นแผ่นเท้าสำหรับเคลื่อนที่และว่ายน้ำ ด้าบบนมีแมนเทิลที่ทำหน้าที่สร้างเปลือกแข็ง ภายในช่องปากมีแรดูลา ยกเว้นในหอยสองฝา ช่วยในการกินอาหาร มีต่อมน้ำลายและตับช่วยสร้างน้ำย่อย ระบบหมุนเวียนเลือดประกอบด้วยหัวใจอยู่ด้านบนและเส้นเลือดไปตามส่วนต่างๆ ระบบขับถ่ายมีเนฟริเดียม ระบบหายใจประกอบด้วยเหงือกหรือถุงหายใจที่คล้ายปอด ระบบประสาทมีปมประสาทสามคู่และมีเส้นประสาทยึดระหว่างปม มีอวัยวะสำหรับรับภาพ กลิ่นและการทรงตัว ระบบสืบพันธุ์ส่วนใหญ่แยกเพศ มีบางพวกไม่แยกเพศและเปลี่ยนเพศได้ มีการปฏิสนธิทั้งแบบภายในและภายนอก สัตว์ในไฟลัมมอลลัสกาเรียกโดยรวมว่า มอลลัสก์ (mollusc, mollusk)

 

ลักษณะรูปร่าง

สัตว์ในกลุ่มนี้มีเนื้อเยื่อสามชั้น triploblasticในระยะ embryo เป็นแบบ protostomes. The principal body cavity is a blood-filled hemocoel. มีช่องว่างลำตัวที่แท้จริงสัตว์ในกลุ่มนี้จะมีชั้นเนื้อเยื่อที่เรียกว่า แมนเทิล ซึ่งในบางชนิดชั้นเนื้อเยื่อนี้จะสามารถสร้างเปลือก ที่เป็นองค์ประกอบของcalcium carbonateมี เท้าใช้ในการเคลื่อนที่ซึ่งมีความแข็งแรงและมีพัฒนาการที่สูง และสามารถใช้ลักษณะของฟัน (radula) ในการแบ่งแยกชนิดได้ด้วย สัตว์ในกลุ่มนี้ไม่มีลักษณะลำตัวที่เป็นข้อปล้อง (segment) การเจริญเติบโตนั้นจะมีการผ่านระยะที่เรียกว่าtrochophore larva 1 - 2 ครั้ง, ซึ่งจะเรียกช่วงหนึ่งว่า veliger larvaซึ่งแสดงให้เห็นความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับสัตว์ในกลุ่มไส้เดือน (Annelida) ซากฟอสซิลของสัตว์ในกลุ่มนี้พบมาในยุค แคมเบรียน Cambrian โดยฟอสซิลที่เก่าแก่ที่สุดมีชื่อว่า Odontogriphusพบที่ Burgess Shaleโดยเชื่อว่ามีอายุไม่ต่ำว่า 500 ล้านปี

การจัดจำแนก

 

               Caudofoveata (?)
                 Aplacophora
hypothetical                     Polyplacophora
ancestral                Monoplacophora
mollusk                   หอยฝาเดียว (Gastropoda)
                    หมึก (Cephalopoda)
                     หอยสองฝา (Bivalvia)
                    Scaphopoda
ในการจัดจำแนกในระดับ ไฟลั่มนั้นสามารถแบ่งสัตว์นี้ออกได้ตามลักษณะของชั้นเนื้อ
  1. ระบบประสาท (Nervous System) มีสมอง
  2. ระบบขับถ่าย (Excretory System) ใช้ เนฟิเดีย (nephridium)
  3. ระบบไหลเวียนเลือดเป็นแบบเปิด (Open Circulatory System) ยกเว้นปลาหมึก จะเป็นระบบไหลเวียนเลือดแบบปิด (Close Circulatory System)
  4. ระบบการหายใจ (Respiratory System) ใช้เหงือก หรือ ปอด (ในพวกที่อาศัยบนบก)
  5. ระบบการย่อยอาหาร (Digestive System) เป็นแบบสมบูรณ์ 

สัตว์ขาปล้อง

 สัตว์ขาปล้อง (ชื่อวิทยาศาสตร์: Arthropoda อาร์โธรโพดา) หรือที่รู้จักกันดีและนิยมเรียกว่า อาร์โธพอด เป็นไฟลัมหลักของสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง ที่มีขนาดของลำตัวแบ่งเป็นส่วน ๆ 3 ส่วน ได้แก่ ส่วนหัว ส่วนอกและส่วนท้อง ซึ่งสัตว์ขาปล้องบางจำพวกอาจจะมีส่วนหัวและส่วนอกที่เชื่อต่อกันเป็นส่วน เดียวกันด้วยก็ได้ จะมีเปลือกแข็งหุ้มบริเวณลำตัวสำหรับทำหน้าที่ป้องกันและช่วยพยุงร่างกายที่ อ่อนนิ่มที่ซ่อนอยู่ภายใต้เปลือกแข็ง ชั้นคิวติเคิลเปลี่ยนไปตามรายละเอียดของรูปร่าง ประกอบด้วยสามชั้นคือ ชั้นผิวนอก (epicuticle) เป็นชั้นนอกที่บาง มีขี้ผึ้งเคลือบเพื่อป้องกันความชื้น ชั้นนอก (exocuticle) ประกอบด้วยไคติน และโปรตีนที่ทำให้แข็ง และชั้นใน (endocuticle) ที่ประกอบด้วยไคตินและโปรตีนที่ไม่ทำให้แข็ง ชั้นนอกและชั้นในเรียกรวมกันว่า procuticle [1] และที่สำคัญคือช่วยพยุงให้ร่างกายของพวกสัตว์ขาปล้องมีรูปร่างที่แน่นอน

 

ลักษณะทั่วไป

สัตว์ ขาปล้องจะมีลักษณะของลำตัวเป็นปล้อง ๆ บางจำพวกนั้นสามารถแยกส่วนต่าง ๆ ของร่างกายออกเป็น 3 ส่วน คือส่วนหัว ส่วนอกและส่วนท้อง แต่ก็มีสัตว์ขาปล้องบางจำพวกที่มีส่วนต่าง ๆ ของร่างกายเพียงแค่ 2 ส่วน คือมีเพียงแค่ส่วนหัวกับส่วนอกติดกันและส่วนท้องเท่านั้นเอง
สัตว์ขาปล้องจะมีช่องเปิดที่สำคัญ มีลักษณะเป็นรูจำนวน 2 รู และมีอวัยวะรับความรู้สึกที่ดี เคลื่อนที่ไปมาได้อย่างรวดเร็ว และหาอาหารได้อย่างง่ายดาย อาศัยอยู่เกือบทุกแห่งของโลก หรืออาจเรียกได้ว่าสัตว์ขาปล้องนั้นมีถิ่นอาศัยอยู่ทุกแห่งในโลก เรียกได้ว่าประมาณ 3 ใน 4 ของสัตว์ทั้งหลายภายในโลก คือสัตว์จำพวกสัตว์ขาปล้อง

การจัดจำแนก

ความสัมพันธ์ทางพันธุกรรมของอาร์โทรพอดใช้ข้อมูลทางพันธุกรรมจากดีเอ็นเอจากไมโทคอนเดรีย [2] ซึ่งแบ่งย่อยได้เป็น 5 ไฟลัมย่อย คือ





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น