สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง
สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง เป็นสัตว์ชั้นต่ำ ที่ไม่มีกระดูกเป็นแกนภายในร่างกาย บางชนิดอาจมีโครงร่างแข็งที่ไม่ใช่กระดูกอยู่ภายในลำตัวเพื่อช่วยค้ำจุนร่างกาย และบางชนิดมีเปลือกแข็งหุ้มอยู่ภายนอก เพื่อป้องกันอันตราย และใช้ยึดของกล้ามเนื้อ นักวิทยาศาสตร์พบว่า พวกแมลง เป็นสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังกลุ่มใหญ่ที่สุด ซึ่งอาศัยอยู่บนบกมากกว่า อาศัยอยู่ในน้ำ ปัจจุบันมีการรวมกลุ่มสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน เป็นพวกๆ ดังนี้
1. พวกฟองน้ำ สัตว์พวกนี้ มีลักษณะลำตัวเป็นโพรง มีรูพรุน ทำให้น้ำและอาหารสามารถไหลผ่านเข้าไปในโพรงลำตัว เพื่อดูดซึมก๊าซออกซิเจนและอาหาร แล้วปล่อยน้ำและกากอาหารออกทางช่องน้ำออก ฟองน้ำทุกชนิดอาศัยอยู่ในน้ำส่วนใหญ่จะอยู่ในทะเลมากกว่าน้ำจืด โดยจะเกาะติดกับหินใต้ท้องทะเล ไม่เคลื่อนที่ ดูมีลักษณะคล้ายพืช ไม่มีหัว ไม่มีปาก และไม่มีทางเดินอาหาร ฟองน้ำแต่ละชนิด มีสีและขนาดแตกต่างกัน การสืบพันธุ์ โดยใช้วิธีการแตกหน่อ ฟองน้ำบางชนิดนำมาใช้ประโยชน์ในการถูตัวเวลาอาบน้ำ จึงเรียกว่า ฟองน้ำถูตัว
พวกสัตว์ลำตัวกลาง
ไนดาเรีย
ไฟลัมไนดาเรีย (ชื่อวิทยาศาสตร์: Cnidaria) หรือ เคยมีชื่อว่า ไฟลัมซีเลนเตอราตา หรือพวก ซีเลนเตอเรต (ชื่อวิทยาศาสตร์: Coelenterate) เป็นกลุ่มสัตว์ที่มีรูปร่างทรงกระบอก มีโพรงในลำตัว และมีเข็มพิษ เช่น แมงกะพรุน ดอกไม้ทะเล ไฮดรา ส่วนใหญ่พบตามชายฝั่งลงไปจนถึงทะเลลึก บางชนิดพบในน้ำจืด กลางลำตัวเป็นท่อกลวง มีอวัยวะคล้ายหนวดหลายเส้น ภายในหนวดนี้มีเข็มพิษจำนวนมาก เมื่อสัมผัสจะทำให้ผิวหนังระคายเคืองและพิษจากเข็มพิษบางชนิดทำให้สัตว์เป็นอัมพาตได้ สัตว์กลุ่มนี้มีประโยชน์ต่อมนุษย์โดยเฉพาะพวกปะการัง เสมือนเป็นป่าใต้น้ำ ที่เป็นแหล่งที่อยู่อาศัย ที่เจริญเติบโตและหลบภัยของสัตว์น้ำนานาชนิด สัตว์กลุ่มนี้ บางชนิดจะสืบพันธุ์ แบบไม่อาศัยเพศ โดยการแตกหน่อ เช่น ไฮดรา ปะการัง และกัลปังหา บางชนิดสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ เช่น แมงกะพรุน
ลักษณะโดยทั่วไป
- มีเนื้อเยื่อ 2 ชั้น (Diploblastica) คือ เอ็กโทเดิร์ม (Ectodrem) และเอนโดเดิร์ม (Endoderm) โดยที่ระหว่าง 2 ชั้นดังกล่าวมีลักษณะคล้ายวุ้น ที่เรียกว่า "มีโซเกลีย" (Mesoglea) ชั้นนอก-เอพิเดอร์มิส (Epidermis) ชั้นมีโซเกลีย (Measoglea) และชั้น แกสโตรเดอร์มิส (Glastrodermis) ตามลำดับ
- รูปร่างทรงกระบอก หรือ ทรงร่ม สมมาตรรัศมี
- มีช่องว่างในลำตัวที่เรียกว่า "ช่องแกสโตรวาสคิวลาร์" (Gastrovascular Cavity) เสมือนระบบย่อยอาหารและระบบหมุนเวียนสาร
- ทางเดินอาหารแบบช่องเดียว (One-hole sac) มีการย่อยอาหารภายในเซลล์ (Intracellular digestion) เกิดขึ้นที่ชั้นแกสโตรเดอร์มิส
- มีหนวดหรือ เทนตาเคิล (Tentacle) อยู่รอบปาก มีเซลล์ "นิโดไซต์" (Cnidocyte) แทรกอยู่ที่เทนตาเคิล และตามผนังลำตัว มนถึงของเซลล์นิโดไซท์นั้น
- มีเข็มพิษเรียก นีมาโตซีสต์ (Nematocyst) ใช้สำหรับแทงเหยื่อ โดยเหยื่อผู้เคราะห์ร่ายอาจตายหรือเป็นอัมพาตได้
- ระบบประสาทเป็นแบบร่างแห (Nerve Net) คือเซลล์ประสาทที่เชื่องโยงกันทั่วตัวยังไม่มีการรวมกลุ่มของเซลล์ประสาทเป็นปมประสาท (Ganglion)
การจัดจำแนก
- ชั้นไฮโดรซัว มีรูปร่างคล้ายต้นไม้ ระยะที่เป็นรูปกระดิ่งคว่ำมีขนาดเล็ก เช่น ไฮดรา แมงกะพรุนน้ำจืด แมงกะพรุนลอย แมงกะพรุนไฟหมวกโปรตุเกส (Physalia physalis)
- ชั้นไซโฟซัว ตัวอ่อนรูปร่างแบบต้นไม้ ตัวเต็มวัยคล้ายกระดิ่งคว่ำขนาดใหญ่ เช่น แมงกะพรุนไฟ (Tamoya sp.) แมงกะพรุนจาน
- ชั้นแอนโทซัว มีรูปร่างแบบต้นไม้ตลอดชีวิต เช่น ปะการังนิ่ม กัลปังหา ปากกาทะเล ดอกไม้ทะเล ปะการังดอกเห็ด ปะการังเขากวาง
พยาธิ
พยาธิ เป็นสิ่งมีชีวิตที่ต้องอาศัยในร่างกายของสัตว์อื่นโดยเรียกว่า ปรสิต
การดำรงชีวิต
ดำรง ชีวิตอยู่ได้โดยการแย่งและดูดซึมสารอาหารจากร่างกาย และสืบพันธุ์ในร่างกายของคนและสัตว์ บางชนิดก็ไม่ก่อความเดือดร้อนต่อร่างกายคนและสัตว์ที่มันอาศัยอยู่ เพียงแต่แย่งดูดซึมอาหารเท่านั้น บางชนิดก็ก่อให้เกิดพยาธิสภาพรุนแรงถึงชีวิตได้ถ้าไม่ได้รับการรักษากลุ่ม
พยาธิมีอยู่จำนวน 3200 ชนิด (varieties) [2] แบ่งเป็น 4 กลุ่ม ดังนี้ [3]- โปรโตซัว เป็นสัตว์เซลล์เดียวที่มีโครงสร้างไม่ยุ่งยากซับซ้อนเช่น Entamoeba sp., Trypanosome sp., Plasmodium sp.
- ตัวกลม จัดอยู่ในอาณาจักรสัตว์ (Kingdom: Animalia) ไฟลัม (Phylum) Nematoda มี 2 ชั้น (Class) โดย Rudolphi ในปี 1808
- ตัวตืด จัดอยู่ในอาณาจักรสัตว์ (Kingdom: Animalia) ไฟลัม (Phylum) Platyhelminthes หนอนตัวแบน (flatworms) (Platyhelminthes, Greek "platy"': flat; "helminth": worm) ชั้น (Class) Trematoda โดย Rudolphi ในปี 1808
- ใบไม้ จัดอยู่ในอาณาจักรสัตว์ (Kingdom: Animalia) ไฟลัม (Phylum) Platyhelminthes ชั้น (Class) Cestoda
พยาธิก่อโรค [4]
- พยาธิตัวกลม (Nematodes) จะมีลำตัวไม่แบ่งเป็นปล้องๆ รูปร่างทรงกระบอก หัวท้ายเรียวแหลม ตัวอย่างเช่น พยาธิไส้เดือนกลม พยาธิเส้นด้าย พยาธิปากขอ พยาธิตัวจี๊ด ชนิดที่พบผู้ป่วยในประเทศไทยมากคือ พยาธิเส้นด้าย (เข็มหมุด) ซึ่งผู้ป่วยรับพยาธิได้ง่ายจากการบริโภคอาหารดิบหรือปรุงสุก ๆ ดิบ ๆ จากเนื้อสัตว์และหอยชนิดต่าง ๆ นอกจากนั้นยังอาจได้รับพยาธิจากการใช้มือที่ไม่สะอาดหรือไม่ได้ล้างมือให้ สะอาดหยิบอาหารรับประทาน
- พยาธิตัวแบน หรือ พยาธิตัวตืด (Cestodes หรือ;z'cv Tapeworm) จะมีลำตัวแบน แบ่งเป็นปล้องๆ ตัวอย่างเช่น พยาธิตืดหมู พยาธิตืดวัว เป็นต้นชนิดที่พบผู้ป่วยในประเทศไทยมากคือ พยาธิตืดหมูและพยาธิตืดวัว ซึ่งผู้ป่วยรับพยาธิได้ง่ายจากการบริโภคอาหารดิบหรือปรุงสุกๆดิบๆ จากเนื้อหมูและเนื้อวัว
- พยาธิใบไม้ (Trematodes หรือ Fluke) จะมีลำตัวแบนไม่แบ่งเป็นปล้อง ตัวอย่างเช่น พยาธิใบไม้ในเลือด พยาธิใบไม้ในตับ ติดต่อได้ง่ายจากการบริโภคอาหารประเภทปลาและสัตว์น้ำจืด ในลักษณะดิบหรือปรุงสุก ๆ ดิบ ๆ
อิคีเนอเดอร์เมอเทอ
เอคไคโนเดอร์มาทา (ชื่อวิทยาศาสตร์: Echinodermata; เสียงอ่านภาษาอังกฤษ: /i-ˌkī-nə-ˈdər-mət-ə/) เป็นไฟลัมหนึ่งของสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง มีสมาชิกได้แก่ ดาวทะเล ดาวเปราะ ปลิงทะเล เม่นทะเล พลับพลึงทะเลและเหรียญทะเล เป็นไฟลัมที่พบเฉพาะในทะเล ชื่อของไฟลัมหมายถึง "สัตว์ที่มีผิวหนังเป็นหนาม" (Echinos = ขรุขระ, Derma = ผิวหนัง) แต่ในที่นี้หมายถึงสัตว์ที่มีโครงร่างภายนอก ซึ่งมีลักษณะเป็นแผ่นหินปูน ทำให้ผิวลำตัวมักมีหนามรูปร่างต่างๆกัน เคลื่อนที่โดยใช้เท้าท่อ หายใจโดยใช้ปุ่มตามผิวหนัง หรือใช้ช่องเหงือก ทุกชนิดอาศัยอยู่ในทะเล ดำรงชีวิตเป็นสัตว์หน้าดิน
ลักษณะสำคัญ
สัตว์ในไฟลัมนี้ เป็นพวก Deuterostome มีช่องลำตัวแท้จริงซึ่งเกิดจากการแบ่งตัวมาจาก mesoderm สัตว์ในไฟลัมนี้สามารถเคลื่อนที่ได้ดี แต่ช้าๆ โดยการใช้เครือข่ายแรงดันภายในระบบท่อน้ำ สามารถสืบพันธุ์จากการแยกส่วนได้ ซึ่งระบบท่อน้ำนี้พัฒนามาจาก coelom และยังทำหน้าที่หายใจ กินอาหาร สืบพันธุ์และหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการหมุนเวียนในร่างกายตัวอ่อนของสัตว์ไฟลัมนี้มีสมมาตรแบบ 2 ส่วนเท่ากัน แต่เมื่อโตเต็มวัยแล้วจะมีสมมาตรแบบทรงรัศมี 5 แฉก การขับถ่าย และหัวใจไม่ชัดเจน เศษอาหารปล่อยออกทางปาก ระบบประสาทเป็น เส้นประสาทแบบวงแหวน อย่างง่ายๆ
การจำแนก
การจัดจำแนก (classification) แบ่งออกเป็น 6 คลาสได้แก่- Class Asteroidea (sea stars) ดาวทะเล (มักเรียกว่า ปลาดาว)
- Class Ophiuroidea (brittle stars) ดาวเปราะ
- Class Holothuroidea (sea cucumbers) ปลิงทะเล
- Class Echinoidea (sea urchins, sand dollar) เม่นทะเลและเหรียญทะเล
- Class Crinoidea (sea lilies) พลับพลึงทะเล
- Class Concentricycloidea (sea daisies) ดอกเดซีทะเล
พวกสัตว์ลำตัวกลาง
ไนดาเรีย
ไฟลัมไนดาเรีย (ชื่อวิทยาศาสตร์: Cnidaria) หรือ เคยมีชื่อว่า ไฟลัมซีเลนเตอราตา หรือพวก ซีเลนเตอเรต (ชื่อวิทยาศาสตร์: Coelenterate) เป็นกลุ่มสัตว์ที่มีรูปร่างทรงกระบอก มีโพรงในลำตัว และมีเข็มพิษ เช่น แมงกะพรุน ดอกไม้ทะเล ไฮดรา ส่วนใหญ่พบตามชายฝั่งลงไปจนถึงทะเลลึก บางชนิดพบในน้ำจืด กลางลำตัวเป็นท่อกลวง มีอวัยวะคล้ายหนวดหลายเส้น ภายในหนวดนี้มีเข็มพิษจำนวนมาก เมื่อสัมผัสจะทำให้ผิวหนังระคายเคืองและพิษจากเข็มพิษบางชนิดทำให้สัตว์เป็นอัมพาตได้ สัตว์กลุ่มนี้มีประโยชน์ต่อมนุษย์โดยเฉพาะพวกปะการัง เสมือนเป็นป่าใต้น้ำ ที่เป็นแหล่งที่อยู่อาศัย ที่เจริญเติบโตและหลบภัยของสัตว์น้ำนานาชนิด สัตว์กลุ่มนี้ บางชนิดจะสืบพันธุ์ แบบไม่อาศัยเพศ โดยการแตกหน่อ เช่น ไฮดรา ปะการัง และกัลปังหา บางชนิดสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ เช่น แมงกะพรุน
ลักษณะโดยทั่วไป
- มีเนื้อเยื่อ 2 ชั้น (Diploblastica) คือ เอ็กโทเดิร์ม (Ectodrem) และเอนโดเดิร์ม (Endoderm) โดยที่ระหว่าง 2 ชั้นดังกล่าวมีลักษณะคล้ายวุ้น ที่เรียกว่า "มีโซเกลีย" (Mesoglea) ชั้นนอก-เอพิเดอร์มิส (Epidermis) ชั้นมีโซเกลีย (Measoglea) และชั้น แกสโตรเดอร์มิส (Glastrodermis) ตามลำดับ
- รูปร่างทรงกระบอก หรือ ทรงร่ม สมมาตรรัศมี
- มีช่องว่างในลำตัวที่เรียกว่า "ช่องแกสโตรวาสคิวลาร์" (Gastrovascular Cavity) เสมือนระบบย่อยอาหารและระบบหมุนเวียนสาร
- ทางเดินอาหารแบบช่องเดียว (One-hole sac) มีการย่อยอาหารภายในเซลล์ (Intracellular digestion) เกิดขึ้นที่ชั้นแกสโตรเดอร์มิส
- มีหนวดหรือ เทนตาเคิล (Tentacle) อยู่รอบปาก มีเซลล์ "นิโดไซต์" (Cnidocyte) แทรกอยู่ที่เทนตาเคิล และตามผนังลำตัว มนถึงของเซลล์นิโดไซท์นั้น
- มีเข็มพิษเรียก นีมาโตซีสต์ (Nematocyst) ใช้สำหรับแทงเหยื่อ โดยเหยื่อผู้เคราะห์ร่ายอาจตายหรือเป็นอัมพาตได้
- ระบบประสาทเป็นแบบร่างแห (Nerve Net) คือเซลล์ประสาทที่เชื่องโยงกันทั่วตัวยังไม่มีการรวมกลุ่มของเซลล์ประสาทเป็นปมประสาท (Ganglion)
การจัดจำแนก
- ชั้นไฮโดรซัว มีรูปร่างคล้ายต้นไม้ ระยะที่เป็นรูปกระดิ่งคว่ำมีขนาดเล็ก เช่น ไฮดรา แมงกะพรุนน้ำจืด แมงกะพรุนลอย แมงกะพรุนไฟหมวกโปรตุเกส (Physalia physalis)
- ชั้นไซโฟซัว ตัวอ่อนรูปร่างแบบต้นไม้ ตัวเต็มวัยคล้ายกระดิ่งคว่ำขนาดใหญ่ เช่น แมงกะพรุนไฟ (Tamoya sp.) แมงกะพรุนจาน
- ชั้นแอนโทซัว มีรูปร่างแบบต้นไม้ตลอดชีวิต เช่น ปะการังนิ่ม กัลปังหา ปากกาทะเล ดอกไม้ทะเล ปะการังดอกเห็ด ปะการังเขากวาง
พวกหอยกับหมึก
มอลลัสกา
มอลลัสกา (ไฟลัม: Mollusca, เสียงอ่าน: /mɵˈlʌskə/) เป็นไฟลัมหนึ่งของสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง คือสัตว์ที่มีลำตัวนิ่ม ส่วนใหญ่มีเปลือกแข็งหุ้มอยู่ภายนอก พบทั้งบนบก น้ำจืด น้ำเค็ม น้ำกร่อย ดำรงชีวิตเป็นอิสระ มีต่อมเมือกตามผิวลำตัว ระบบอวัยวะมีความซับซ้อน ลำตัวสั้น ด้านหน้าเป็นส่วนหัว ด้านล้างเป็นแผ่นเท้าสำหรับเคลื่อนที่และว่ายน้ำ ด้าบบนมีแมนเทิลที่ทำหน้าที่สร้างเปลือกแข็ง ภายในช่องปากมีแรดูลา ยกเว้นในหอยสองฝา ช่วยในการกินอาหาร มีต่อมน้ำลายและตับช่วยสร้างน้ำย่อย ระบบหมุนเวียนเลือดประกอบด้วยหัวใจอยู่ด้านบนและเส้นเลือดไปตามส่วนต่างๆ ระบบขับถ่ายมีเนฟริเดียม ระบบหายใจประกอบด้วยเหงือกหรือถุงหายใจที่คล้ายปอด ระบบประสาทมีปมประสาทสามคู่และมีเส้นประสาทยึดระหว่างปม มีอวัยวะสำหรับรับภาพ กลิ่นและการทรงตัว ระบบสืบพันธุ์ส่วนใหญ่แยกเพศ มีบางพวกไม่แยกเพศและเปลี่ยนเพศได้ มีการปฏิสนธิทั้งแบบภายในและภายนอก สัตว์ในไฟลัมมอลลัสกาเรียกโดยรวมว่า มอลลัสก์ (mollusc, mollusk)
ลักษณะรูปร่าง
สัตว์ในกลุ่มนี้มีเนื้อเยื่อสามชั้น triploblasticในระยะ embryo เป็นแบบ protostomes. The principal body cavity is a blood-filled hemocoel. มีช่องว่างลำตัวที่แท้จริงสัตว์ในกลุ่มนี้จะมีชั้นเนื้อเยื่อที่เรียกว่า แมนเทิล ซึ่งในบางชนิดชั้นเนื้อเยื่อนี้จะสามารถสร้างเปลือก ที่เป็นองค์ประกอบของcalcium carbonateมี เท้าใช้ในการเคลื่อนที่ซึ่งมีความแข็งแรงและมีพัฒนาการที่สูง และสามารถใช้ลักษณะของฟัน (radula) ในการแบ่งแยกชนิดได้ด้วย สัตว์ในกลุ่มนี้ไม่มีลักษณะลำตัวที่เป็นข้อปล้อง (segment) การเจริญเติบโตนั้นจะมีการผ่านระยะที่เรียกว่าtrochophore larva 1 - 2 ครั้ง, ซึ่งจะเรียกช่วงหนึ่งว่า veliger larvaซึ่งแสดงให้เห็นความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับสัตว์ในกลุ่มไส้เดือน (Annelida) ซากฟอสซิลของสัตว์ในกลุ่มนี้พบมาในยุค แคมเบรียน Cambrian โดยฟอสซิลที่เก่าแก่ที่สุดมีชื่อว่า Odontogriphusพบที่ Burgess Shaleโดยเชื่อว่ามีอายุไม่ต่ำว่า 500 ล้านปีการจัดจำแนก
- ชั้นแกสโทรโปดา หอยฝาเดียว ส่วนที่ห่อหุ้มเป็นชิ้นเดียวขดเป็นเกลียว เช่น หอยโข่งทะเล เต้าปูน ทากเปลือย ทากบก หอยทาก
- ชั้นมอโนพลาโคฟอรา มีเปลือกแข็งชิ้นเดียวรูปร่างคล้ายฝาชี เช่น Neopilina sp.
- ชั้นพอลิพลาโคฟอรา มีเปลือกแข็งซ้อนเป็นแผ่นตามลำตัว ช่วยให้มวนตัวเป็นลูกบอลได้ เช่น ลิ่นทะเล
- ชั้นอะพลาโคฟอรา ไม่มีเปลือกแข็ง แต่มีโครงสร้างที่เป็นหินปูนแทรกตามผนังลำตัว
- ชั้นไบวาลเวีย หอยสองฝา มีเปลือกแข็งสองฝายึดติดกันโดยมีบานพับเป็นเอ็น เช่น หอยแมลงภู่ หอยมือเสือ หอยเสียบ หอยนางรม
- ชั้นสแคโฟโปดา เช่น หอยงาช้าง เปลือกยาวเรียว โค้งเล็กน้อยคล้ายงาช้าง
- ชั้นเซฟาโลโปดา เช่น หมึกและหอยงวงช้าง มีเปลือกเป็นแผ่นแบนใส หรือเป็นเปลือกแข็งหุ้มตัว แบ่งเป็นช่องๆ
- Class † Rostroconchia พบเพียงแต่ฟอสซิลคาดว่าน่าจะมีมากกว่า และเชื่อว่าเป็นต้นกำเนิดของพวกหอยสองฝา; 1,000 ชนิด (species) ;
- Class † Helcionelloida พบในรูปของฟอสซิลรูปร่างคล้ายหอยทากอาทิเช่น Latouchella
Caudofoveata (?) | |||||
Aplacophora | |||||
hypothetical | Polyplacophora | ||||
ancestral | Monoplacophora | ||||
mollusk | หอยฝาเดียว (Gastropoda) | ||||
หมึก (Cephalopoda) | |||||
หอยสองฝา (Bivalvia) | |||||
Scaphopoda |
- ระบบประสาท (Nervous System) มีสมอง
- ระบบขับถ่าย (Excretory System) ใช้ เนฟิเดีย (nephridium)
- ระบบไหลเวียนเลือดเป็นแบบเปิด (Open Circulatory System) ยกเว้นปลาหมึก จะเป็นระบบไหลเวียนเลือดแบบปิด (Close Circulatory System)
- ระบบการหายใจ (Respiratory System) ใช้เหงือก หรือ ปอด (ในพวกที่อาศัยบนบก)
- ระบบการย่อยอาหาร (Digestive System) เป็นแบบสมบูรณ์
สัตว์ขาปล้อง
สัตว์ขาปล้อง (ชื่อวิทยาศาสตร์: Arthropoda อาร์โธรโพดา) หรือที่รู้จักกันดีและนิยมเรียกว่า อาร์โธพอด เป็นไฟลัมหลักของสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง ที่มีขนาดของลำตัวแบ่งเป็นส่วน ๆ 3 ส่วน ได้แก่ ส่วนหัว ส่วนอกและส่วนท้อง ซึ่งสัตว์ขาปล้องบางจำพวกอาจจะมีส่วนหัวและส่วนอกที่เชื่อต่อกันเป็นส่วน เดียวกันด้วยก็ได้ จะมีเปลือกแข็งหุ้มบริเวณลำตัวสำหรับทำหน้าที่ป้องกันและช่วยพยุงร่างกายที่ อ่อนนิ่มที่ซ่อนอยู่ภายใต้เปลือกแข็ง ชั้นคิวติเคิลเปลี่ยนไปตามรายละเอียดของรูปร่าง ประกอบด้วยสามชั้นคือ ชั้นผิวนอก (epicuticle) เป็นชั้นนอกที่บาง มีขี้ผึ้งเคลือบเพื่อป้องกันความชื้น ชั้นนอก (exocuticle) ประกอบด้วยไคติน และโปรตีนที่ทำให้แข็ง และชั้นใน (endocuticle) ที่ประกอบด้วยไคตินและโปรตีนที่ไม่ทำให้แข็ง ชั้นนอกและชั้นในเรียกรวมกันว่า procuticle [1] และที่สำคัญคือช่วยพยุงให้ร่างกายของพวกสัตว์ขาปล้องมีรูปร่างที่แน่นอน
ลักษณะทั่วไป
สัตว์ ขาปล้องจะมีลักษณะของลำตัวเป็นปล้อง ๆ บางจำพวกนั้นสามารถแยกส่วนต่าง ๆ ของร่างกายออกเป็น 3 ส่วน คือส่วนหัว ส่วนอกและส่วนท้อง แต่ก็มีสัตว์ขาปล้องบางจำพวกที่มีส่วนต่าง ๆ ของร่างกายเพียงแค่ 2 ส่วน คือมีเพียงแค่ส่วนหัวกับส่วนอกติดกันและส่วนท้องเท่านั้นเองสัตว์ขาปล้องจะมีช่องเปิดที่สำคัญ มีลักษณะเป็นรูจำนวน 2 รู และมีอวัยวะรับความรู้สึกที่ดี เคลื่อนที่ไปมาได้อย่างรวดเร็ว และหาอาหารได้อย่างง่ายดาย อาศัยอยู่เกือบทุกแห่งของโลก หรืออาจเรียกได้ว่าสัตว์ขาปล้องนั้นมีถิ่นอาศัยอยู่ทุกแห่งในโลก เรียกได้ว่าประมาณ 3 ใน 4 ของสัตว์ทั้งหลายภายในโลก คือสัตว์จำพวกสัตว์ขาปล้อง
การจัดจำแนก
ความสัมพันธ์ทางพันธุกรรมของอาร์โทรพอดใช้ข้อมูลทางพันธุกรรมจากดีเอ็นเอจากไมโทคอนเดรีย [2] ซึ่งแบ่งย่อยได้เป็น 5 ไฟลัมย่อย คือ- ไฟลัมย่อยไทรโลบิโตมอร์ฟา สูญพันธุ์ไปหมดแล้ว พบแต่ในซากชีวิตโบราณ ถือว่าเป็นสัตว์ขาปล้องกลุ่มแรก
- ไฟลัมย่อยเชลิเซอราตา
ลำตัวแบ่งเป็นสองส่วนคือส่วนหัวและอกรวมเป็นชิ้นเดียวเรียกเซฟาโลทอแรกซ์
กับส่วนท้อง มีรยางค์สำคัญ 1 คู่ข้างหน้า ใช้หาอาหาร แบ่งย่อยเป็น
- ชั้นเมโรสโตมาตา มีขาเดิน 5 คู่ ใช้เหงือกหายใจ เช่น แมงดาทะเล
- ชั้นอะแรกนิดา มีขาเดิน 4 คู่ ใช้ปอด (book lung) หายใจ เช่น แมงมุม แมงป่อง เห็บแข็งในสุนัข
- ไฟลัมย่อยครัสตาเชีย เซฟาโลทอแรกซ์มีระยางค์ 5 คู่ แต่ละคู่มี 2 ก้าน ส่วนท้ายมีระยางค์อีก 8 คู่ อวัยวะรับความรู้สึกมีตาประกอบเป็นก้าน ขนแข็งทั่วตัวใช้รับสัมผัสและอวัยวะเกี่ยวกับการทรงตัว ระบบสืบพันธุ์แยกเพศกัน ปฏิสนธิภายใน ตัวอ่อนลอกคราบหลายครั้งกว่าจะเป็นตัวเต็มวัย ชั้นที่สำคัญได้แก่
- ไฟลัมย่อยยูนิราเมีย มีระยางค์ซึ่งไม่มีแขนง มีแอนเทนนาคู่เดียว กรามไม่แบ่งเป็นปล้อง แบ่งเป็น
- ชั้นไคโลโพดา เช่นตะขาบ
- ชั้นซิมไฟลา เช่น ตะขาบฝอย
- ชั้นดิโพลโพดา เช่น กิ้งกือ กระสุนพระอินทร์
- ชั้นปัวโรโพดา ลักษณะโดยทั่วไปคล้ายชั้นซิมไฟลา
- ชั้นอินเซคตา ได้แก่ แมลง เช่น ตั๊กแตน มด ปลวก เหา ชีปะขาว แมลงสาบ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น